Last updated: 28 ต.ค. 2565 | 574 จำนวนผู้เข้าชม |
1.การเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน โดยปกตินั้น ใบปัดน้ำฝนมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งเราสามารถเช็กสภาพยางใบปัดน้ำฝนแบบง่ายๆ ด้วยการสัมผัส ยางของใบปัดน้ำฝนดูว่า มีความแห้งเป็นขุย หรือทดลองเอาเล็บกดลงไปที่ยางของใบปัด หากเกิดรอยหรือเนื้อยางไม่คืนรูป แสดงว่าถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนแล้ว
2. ความร้อนจากแสงแดด แม้ว่าใบปัดน้ำฝนนั้นอาจจะไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเป็นประจำ แต่ก็มีโอกาสชำรุดหรือเสื่อมสภาพได้ หากมีการจอดรถตากแดดนานๆ หรือเป็นประจำซึ่งจะทำให้ยางใบปัดน้ำฝนกรอบ ขาดความยืดหยุ่น จากการที่แผ่นยางของใบปัดน้ำฝนแนบกับกระจกที่สะสมความร้อนจากแสงแดด ดังนั้น หากเลือกได้ควรเลือกจอดรถในร่มจะดีกว่า
3. สิ่งสกปรกหรือฝุ่น หากใบปัดน้ำฝนถูกใช้งานมานานและไม่ได้รับการทำความสะอาด อาจมีฝุ่นหรือเศษสิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่ที่ใบปัดน้ำฝน ซึ่งทำให้ใบปัดน้ำฝนสึกหรอได้จึงควรหมั่นทำความสะอาดใบปัดน้ำฝนและกระจกหน้ารถอย่างสม่ำเสมอ ด้วยผ้าและน้ำยาล้างกระจก เพื่อขจัดฝุ่นละอองและคราบสิ่งสกปรก
4. ใช้น้ำยาที่ผสมแอลกฮอล์เช็ดทำความสะอาด ใบปัดน้ำฝนผลิตมาจากเนื้อยางที่แตกต่างกัน การใช้น้ำยาที่ผสมแอลกอฮอล์ทำความสะอาดใบปัดน้ำฝน อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อยางใบปัดน้ำฝน และทำให้ยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพได้
อาการของใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ
1. ปัดกระจกแล้วไม่สะอาด มีละอองน้ำเป็นเส้นสันครึ่งวงกลม หรือเป็นม่านบนกระจก และขุ่นมัว แสดงว่ายางปัดน้ำฝนไม่สามารถรีดน้ำบนกระจกได้ดีเท่าที่ควร เกิดจากเนื้อแผ่นยางของใบปัดน้ำฝนแข็งกรอบ โดยปกติแผ่นยางปัดน้ำฝนจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี หากเกิดอาการดังกล่าว แสดงว่าใบปัดนั้นเสื่อมสภาพแล้วควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนใหม่โดยเร็ว เพื่อความปลอดภัยและทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่อีกด้วย
2. ปัดกระจกแล้วมีเสียงดัง หรือกระตุกขณะปัด เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อย ซึ่งอาการนี้อาจเกิดการความล้าของชุดสปริงที่ทำหน้าที่กดให้แผ่นยางแนบสนิทกับผิวกระจก โดยอาการสปริงล้านั้นเกิดจากการยกก้านใบปัดน้ำฝนทิ้งไว้นานเกินไป